ป.ป.ส. เปิดแนวรบ...มุ่งสร้างพลเมืองใหม่ ไม่ใช้ยาเสพติด

เมื่อวันที่ : 11 มี.ค. 2558 00:00
หน่วยงาน : สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
2 ครั้ง
ป.ป.ส. เปิดแนวรบ...มุ่งสร้างพลเมืองใหม่ ไม่ใช้ยาเสพติด

11-3-58-wt02.jpg

     วันพุธที่ 11 มีนาคม 2558 เวลา 14.00 น. นายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) / โฆษกสำนักงาน ป.ป.ส. เป็นประธานงานแถลงข่าว พร้อมร่วมเสวนาในหัวข้อ “ป.ป.ส. เปิดแนวรบ..มุ่งสร้างพลเมืองใหม่ ไม่ใช้ยาเสพติด” นำเสนอวิสัยทัศน์การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สร้างภูมิคุ้มกัน ในกลุ่มเด็กปฐมวัย พร้อมด้วย นางสุภาวดี หาญเมธี ประธานสถาบันอาร์แอลจี (รักลูก เลิร์นนิ่งกรุ๊ป) นำเสนอแนวคิดการนำทฤษฎี EFs หรือ Executive Functions หรือความสามารถของสมองในการบริหารจัดการชีวิต มาใช้ออกแบบสื่อและกระบวนการเรียนรู้ พร้อมร่วมกิจกรรมการสาธิต “เล่า อ่าน เครื่องมือเสริมพัฒนาการ สร้างภูมิคุ้มกันสำหรับเด็กปฐมวัย” โดย อ.ปรีดา ปัญญาจันทร์ นักเขียน นักวาดภาพประกอบนิทาน ผู้เชี่ยวชาญเทคนิค การเล่านิทาน การแต่งนิทาน และกิจกรรมศิลปะสำหรับเด็ก ให้กับนักเรียนระดับอนุบาล 2 ณ อาคารพิบูลย์สงคราม ชั้น 1 โรงเรียนพิบูลย์ประชาสรรค์ เขตดินแดง กรุงเทพฯ
    นายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต รองเลขาธิการ ป.ป.ส. / โฆษกสำนักงาน ป.ป.ส. กล่าวว่า “สำนักงาน ป.ป.ส. ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่หลักในการกำหนดกรอบทิศทางการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดของประเทศ ตระหนักถึงความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดให้กับคนไทยตั้งแต่ระดับปฐมวัย (แรกเกิด – 6 ปี) เพื่อสร้างพลเมืองรุ่นใหม่ให้เข้มแข็งและห่างไกลจากยาเสพติด จากสถิติผู้เข้ารับการบำบัดรักษายาเสพติดตั้งแต่ปี 2553 – 2558 พบว่า ผู้เสพหน้าใหม่เข้ารับการบำบัดรักษา มีสัดส่วนของเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 15 ปี เพิ่มสูงขึ้น เป็นเหตุให้ สำนักงาน ป.ป.ส. เห็นถึงความสำคัญจึงต้องเพิ่มน้ำหนักการทำงานด้านการป้องกันเชิงรุก โดยการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับกลุ่มเด็กปฐมวัย องค์ความรู้สำคัญที่จะนำมาใช้ในการสร้างภูมิคุ้มกันในกลุ่มเด็กปฐมวัย คือ องค์ความรู้ด้านประสาทวิทยา ในเรื่อง อีเอฟ (EFs หรือ Executive Functions) ซึ่งหมายถึง ความสามารถของสมองในการบริหารจัดการชีวิต เป็นทักษะในการคิดและรู้สึก เช่น ยับยั้งชั่งใจ คิดก่อนทำ รู้จักควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมให้เหมาะสม ความมุ่งมั่นพากเพียร และรู้จักปรับตัวกับสถานการณ์ ล้มแล้วลุกได้ โดยที่ EFs มีช่วงระยะที่จะพัฒนาได้อย่างดี คือ ในช่วงอายุ 2 – 6 ปี ดังนั้น หากต้องการพลเมืองที่มีภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็งต่อยาเสพติดและปัญหาอื่นๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพัฒนาอย่างถูกวิธีในช่วงอายุนี้”
     นางสุภาวดี หาญเมธี ประธานสถาบันอาร์แอลจี (รักลูก เลิร์นนิ่งกรุ๊ป) กล่าวว่า “มีงานวิจัยระยะยาวในต่างประเทศยืนยันชัดเจนว่า เด็กที่ EFs ดี เมื่อขึ้นไปเรียนในระดับชั้นประถมศึกษา – มัธยมศึกษา หรือระดับมหาวิทยาลัยจะมีผลการเรียนดี เมื่อทำงานก็ประสบสำเร็จมาก เป็นหนี้สินน้อย กระทำผิดทางกฎหมายน้อย มีภาวะการเสพติดสิ่งต่างๆ น้อย และเมื่อมีครอบครัว คนมี EFs ดีก็มีชีวิตคู่ที่อบอุ่น ดังนั้น EFs ย่อมเป็นภูมิคุ้มกันที่จะช่วยคนเราในการดำรงชีวิต จะพูดก็ได้ว่า EFs นั้นรวม IQ/EQ/SQ ไว้ทั้งหมด สมองของมนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่จะพัฒนา EFs ได้ทั้งสิ้น แต่ต้องได้รับการฝึกฝน ช่วงเวลาฝึกฝนที่ได้ผลดีที่สุดคือช่วงก่อน 6 ขวบ หลังจากนั้นไปแล้วก็ยังพัฒนาได้ แต่ในอัตราที่ไม่ดีเท่าวัยเด็กเล็ก ดังนั้น ถ้าเราละเลยการฝึกฝน EFs ในช่วงอนุบาล ก็เท่ากับเราโยนโอกาสพัฒนาสิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิตเด็กไทยทิ้งไปอย่างน่าเสียดายที่สุด ถ้าเราจะพัฒนาเด็กไทยให้ถูกที่ถูกทาง การเรียนในช่วงอนุบาลจะต้องไม่เร่งเรียนเขียนอ่าน แต่ต้องเป็นการเรียนแบบ Active Learning ให้เด็กได้เล่น ได้ลงมือทำด้วยตนเอง (Learning by Doing) ได้คิดค้นและวางแผนกิจกรรมต่างๆ กับกลุ่ม เป็นต้น แล้วเสริมทักษะ EFs เข้าไป สถาบันอาร์แอลจี ได้ร่วมมือกับ ศูนย์วิจัยประสาทวิทยาศาสตร์ สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล โดย รศ.ดร. นวลจันทร์ จุฑาภักดีกุล ในการจัดการความรู้และพัฒนาสื่อหลากหลายรูปแบบ เพื่อสนับสนุนสำนักงาน ป.ป.ส. ในการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการเรียนรู้ด้าน EFs ที่ออกแบบมาอย่างประณีตสำหรับผู้เข้าเรียนรู้แต่ละกลุ่ม ให้พ่อแม่ ครูอนุบาล ครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เข้าใจและนำใช้ต่อได้อย่างแท้จริง เราคาดหวังจะสร้าง Facilitator หรือผู้นำกระบวนการเรียนรู้ด้าน EFs ให้มีทุกจังหวัดทั่วประเทศ”
     นายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต กล่าวปิดท้ายว่า “ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไป สำนักงาน ป.ป.ส. กำหนดทิศทางและแผนงานขับเคลื่อนการสร้างภูมิคุ้มกันในเด็กปฐมวัย แบ่งเป็น 4 มาตรการสำคัญ ได้แก่ 1. สร้างเครื่องมือ จัดทำสื่อเสริมพัฒนาการสำหรับสร้างภูมิคุ้มกันแก่เด็กปฐมวัย ทั้งในรูปแบบนิทาน และสื่ออื่นๆ อาทิ เพลง เกมส์ ของเล่น 2. พัฒนาบุคลากร ได้แก่ ครู รร.อนุบาล และครูผู้ดูแลเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั่วประเทศเพื่อให้สามารถใช้เครื่องมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. ขยายและพัฒนาภาคีเครือข่าย คือ สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ ที่ทำงานเกี่ยวกับเด็กปฐมวัย ได้แก่ เครือข่ายครู ชุมชน ครอบครัว รวม 53,553 แห่ง โดยได้ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงมหาดไทยในเรื่องนี้แล้ว 4. พัฒนาองค์ความรู้ทางวิชาการ โดยเฉพาะการวิจัยและประเมินผลเพื่อดูผลสัมฤทธิ์ของการสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดในเด็กปฐมวัยอย่างต่อเนื่องมากกว่า 5 ปี เพื่อเป็นองค์ความรู้เชิงประจักษ์ในการพัฒนาการทำงานต่อไป ทั้งหมดนี้ เพื่อให้เด็กปฐมวัยได้รับการพัฒนาที่เหมาะสมสามารถเติบโตเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง มีคุณภาพ และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป

    อย่างไรก็ตาม การสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันปัญหายาเสพติด เป็นเรื่องใหญ่ที่ใครคนใดคนหนึ่ง หรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งจะสามารถทำได้สำเร็จเพียงลำพัง หากต้องการการมีส่วนร่วมของทุกคน ทุกภาคส่วนที่จะต้องร่วมมือร่วมใจกัน มีจิตสำนึกต่อการป้องกันปัญหายาเสพติดร่วมกัน เริ่มจาก พ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู และผู้ใหญ่แวดล้อมตัวเด็ก โดยนำเครื่องมือและความรู้เรื่อง EFs ไปใช้อย่างจริงจัง เพื่อคุณลักษณะที่เหมาะสมให้เกิดขึ้นกับเด็ก ซึ่งเชื่อได้ว่าจะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งสำหรับเด็กไทยที่จะเป็นพลเมืองใหม่ในอนาคตที่ไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดอีกต่อไป”

11-3-58-wt3.jpg 
YouTube Instagram TikTok X Threads search download
Q&A FAQ