สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงถึง สถานการณ์ภาพรวมการสกัดกั้นและการลักลอบส่งออก ยาเสพติด ความคืบหน้าคดีส่งออกยาเสพติดไปต่างประเทศ เนื่องจากช่วงเดือนที่ผ่านมาปรากฎขึ้นเป็นข่าวบ่อยครั้งณ ศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงาน ป.ป.ส
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึง สาเหตุสำคัญที่ทำให้พบการลักลอบส่งยาเสพติดหลายครั้งมีที่มาจากประเทศไทย เนื่องจากที่ตั้งของประเทศไทยมีพื้นที่ติดกับสามเหลี่ยมทองคำแหล่งผลิตยาเสพติดสำคัญ และการคมนาคมสะดวกเอื้อต่อการขนส่ง เส้นทางการนำเข้ามา ทั้งทางชายแดนภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคตะวันตก ล้วนเป็นเส้นทางที่มีการลักลอบขนส่งยาเสพติด แม้จะมีการสกัดกั้นได้เป็นจำนวนมากแต่ก็มีที่เล็ดรอดผ่านเข้าไป และประเทศไทยยังเป็นศูนย์กลางภูมิภาค ที่มีการคมนาคมขนส่งที่สะดวกรวดเร็ว ทั้งทางบก ทางเรือ ทางอากาศ ความพร้อมทางด้านการคมนาคมขนส่งนี้ เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการพบปะเจรจา เตรียมการซุกซ่อนอำพรางยาเสพติด ตลอดจนดำเนินการด้านการจัดส่งยาเสพติดไปประเทศปลายทาง ปรากฏข่าวสารการจับกุมสกัดกั้นยาเสพติดจำนวนมาก
"ยาเสพติดที่ตรวจยึดได้ภายในประเทศ นับแต่ปลายปี 2562 มีปริมาณมากขึ้น ในทุกๆ ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งไอซ์ และเฮโรอีน ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาร่วมกันของหลายประเทศในภูมิภาค ณ ขณะนี้ จะถูกนำเข้ามาเพื่อส่งผ่านไปต่างประเทศแต่ก็สกัดกั้นตรวจยึดได้จำนวนมาก เมื่อเทียบกับที่หลุดรอดไปปลายทาง เช่น ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งได้สั่งการให้ สำนักงาน ป.ป.ส. ประสานความร่วมมือกับประเทศปลายทาง จนกระทั่งไปสู่การจับกุม"
ทั้งนี้ จากสถิติการสกัดกั้นจับกุมยาเสพติดในประเทศไทยตั้งแต่ตุลาคม 2563 - มิถุนายน 2564 ได้ ยาบ้า 344 ล้านเม็ด ไอซ์ 20,662 กก. และ เฮโรอีน 2,760 กก. ยาอี 279,868 เม็ด กัญชา 19,475 กก. โคเคน 42 กก. และ คีตามีน 1,058 กก. ส่วนสถิติการจับกุมยาเสพติดในประเทศไทยที่เตรียมส่งออกต่างประเทศ ตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2563 - มิถุนายน 2564 รวม 84 คดี เป็นไอซ์ 72.08 กก. ยาบ้า 39,002 เม็ด เฮโรอีน 285.69 กก. ยาอี 1,922 เม็ดกัญชา 32.24 กก. โคเคน 0.005 กก. และคีตามีน 11.04 กก. ปลายทางพบเตรียมส่งออกยังประเทศ ต่าง ๆ รวม 17 ประเทศ คือ จีน มาเก๊า ไต้หวัน ฮ่องกง ฟิลิปปินซ์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ อิสราเอล นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย สเปน ยูเออี รัสเซียอังกฤษ อเมริกา และนอร์เวย์
นอกจากนี้ สถิติการจับกุมยาเสพติดในต่างประเทศที่ส่งมาจากประเทศไทยไป ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 - มิถุนายน 2564 รวม 21 คดี เป็นไอซ์ 1,203 กก. เฮโรอีน 23.5 กก. กัญชา 392 กก. คีตามีน 2.04 กก. ยาอี 1,320 เม็ด ประเทศปลายทาง คือ ยูเออี เกาหลีใต้ สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เกือบทั้งหมดส่งโดยขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติชาวจีนและแอฟริกันตะวันตก
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมยังเปิดเผยอีกว่า “ตนไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องดังกล่าวสั่งการให้ สำนักงาน ป.ป.ส. ประสานกับ บช.ปส. ศุลกากร และ ศรภ. เร่งดำเนินการสืบสวนสอบสวนขยายผลกลุ่มนักค้ายาเสพติด ที่ลักลอบขนยาเสพติดซุกซ่อนไปกับสิ่งของไปยังต่างประเทศหลายคดี ไม่ว่าจะเป็นคดีที่ประเทศออสเตรเลีย ตรวจยึดไอซ์ 316 กิโลกรัม ทราบถึงผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว และพบว่ามีความเชื่อมโยงกับชาวไทยชาติพันธุ์ ส่วนคดีที่ประเทศเกาหลี ตรวจยึดไอซ์ 4,040.49 กรัม อยู่ระหว่างขยายผล
นอกจากนี้ ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ชุดปฏิบัติการสกัดกั้นยาเสพติดพื้นที่ท่าอากาศยาน (Airport Interdiction Task Force : AITF) ประกอบด้วย ป.ป.ส. บช.ปส. ศุลกากร ศรภ. ร่วมกันจับกุม นายวิกเตอร์ ชอบูอีซี อูโกวเค่ (Mr.Victor Chibueze Ugwoke) สัญชาติไนจีเรีย ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 90/2561 ลงวันที่ 2 มีนาคม 2561 ข้อหา “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคคาอีน) เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคคาอีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ได้ที่ ณ บริเวณล๊อบบี้โรงแรมแห่งหนึ่ง ย่านงามวงศ์วาน พร้อมจับกุม น.ส.วิจิตตรา ก๊กรัมย์ ภรรยา ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับคดียาเสพติด ระหว่างขับรถมารับบริเวณโรงแรมฯ จึงได้ร่วมกันจับกุม จากนั้นนำผู้ต้องหาทั้ง 2 เข้าตรวจค้นที่พักย่านลาดพร้าว พบยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน) น้ำหนัก อยู่ภายในห้องพัก จึงแจ้งข้อหาเพิ่มเติมมียาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคคาอีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ทุกคดีเน้นให้มีการสืบสวน ขยายผล ย้ำให้ ป.ป.ส. ประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานทั้งในประเทศ เช่น บช.ปส. ศุลกากร และหน่วยงานต่างประเทศ ทั้งประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์เกาหลีใต้ สิงคโปร์ เพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสาร ข่าวกรอง และเพิ่มความเข้มงวดสกัดกั้น/ตรวจค้นสินค้า ก่อนถูกส่งออกไปประเทศกลุ่มเสี่ยง รวมไปถึงกำชับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องที่ตั้งข้อสังเกตคือ เครือข่ายกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดที่ลักลอบส่งออก พบว่ามี 3 กลุ่มหลัก คือ
1. อัฟริกันตะวันตก
2. ชาวไทยร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์
3. กลุ่มต่างชาติที่มาซื้อ-ขาย ยาเสพติดและลักลอยส่งออกเอง
นอกจากนี้ ยังพบว่า การซื้อ-ขาย ยาเสพติดมีการเปลี่ยนไปจากเดิม การส่งยาเสพติดมักผ่านบริษัทขนส่งเอกชนต่างๆ เพื่อลด/อำพรางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ การเจรจาซื้อ-ขาย ก็จะผ่านสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ที่ไม่สามารถเชื่อมโยงมาถึงตัวผู้สั่งยาเสพติดได้ อาทิ Line Facebook มีลักษณะอวตาร คือ ไร้ตัวตน ซึ่งตรงนี้สำนักงาน ป.ป.ส. ต้องเร่งจัดหาเครื่องมืออุปกรณ์และเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการสืบสวนขยายผลจนไปถึงยึดทรัพย์สิน นอกจากนี้ เวลาซื้อ-ขายก็ใช้บุคคลอื่น หรือจ้างวาน ให้นำเงินโอนฝากตู้ฝากเงิน หรือผ่าน E-Banking เป็นต้น
การซุกซ่อนลำเลียงยาเสพติดเป็นอีกหนึ่งรูปแบบในการอำพรางเพื่อขนส่งยาเสพติด ซึ่งก่อนสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโควิด-19 แบ่งได้เป็น 4 ประเภท
1. ซุกซ่อน/ดัดแปลงมากับกระเป๋าสัมภาระ
2. ซุกซ่อนหรือผสมกับของใช้เช่น ครีมทาผิว ยาสระผม
3. ซุกซ่อนมาในส่วนต่างๆ ของร่างกาย
4.กลืนลงท้อง
แต่หลังจากมีสถานการณ์โควิด-19 พบว่ามีลักษณอำพราง/ดัดแปลงมากับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า กรอบรูป ของใช้ต่างๆ เป็นต้น
รัฐมนตรีฯ ทิ้งท้าย ทุกคดี ทุกรูปแบบ เน้นย้ำให้ ป.ป.ส. ประสานหน่วนงานทั้งภายในและภายนอกประเทศ ประชาชนทุกคนในพื้นที่ถือเป็นกำลังสำคัญยิ่ง รัฐบาลยังคงเน้นเรื่องการมีส่วนร่วม โดยบูรณาการทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหายาเสพติด เพื่อลดความเดือดร้อนและผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเพื่อให้สังคมไทยปลอดภัยจากยาเสพติดอย่างยั่งยืนตามนโยบายของรัฐบาล