วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. นายไกรเลิศ ดาวเรือง ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ภาค 3 หัวหน้าส่วนราชการจังหวัดนครราชสีมา ผู้บริหารองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา คณาจารย์ และนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ณ ศูนย์การค้า Terminal 21 อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า รัฐบาลกำหนดให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ จากการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา ผมได้กำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ร่วมกับหน่วยงานของรัฐ ภาคประชาชนและภาคเอกชน บูรณาการการดำเนินงานในการปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง และเด็ดขาด ให้เห็นผลเป็นรูปธรรมภายใน 90 วัน โดยกำหนดเป็นพื้นที่ ที่มีปัญหายาเสพติดรุนแรง จำนวน 25 จังหวัด ซึ่งรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุน และให้รางวัลแก่เจ้าหน้าที่ ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้สำเร็จตามเป้าหมาย ในขณะเดียวกันก็จะมีบทลงโทษสำหรับเจ้าหน้าที่ที่บกพร่อง ละเลย ในการปฏิบัติหน้าที่
นายกฯ กล่าว : ความสูญเสียที่เคยเกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมาจากปัญหายาเสพติด ได้ส่งผลกระทบต่อสังคม ทั้งในเรื่องชีวิตและทรัพย์สินในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ จึงอยากขอให้ทุกหน่วยงานมีส่วนร่วมในการป้องกันปราบปรามยาเสพติดให้หมดไป ผมขอให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องนำโครงการขจัดปัญหายาเสพติด ที่อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน และโครงการปราบปรามยาเสพติดระยะเร่งด่วน ที่อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด มาเป็นต้นแบบในการแก้ไขปัญหา โดยทั้ง 2 โครงการเป็นความร่วมมือของทุกหน่วยที่บูรณาการร่วมกัน ทั้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ปปส. กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และอีกหลายหน่วยงานร่วมมือกัน ในการขจัดยาเสพติดให้สิ้นไปจากพื้นที่ ที่ตัวเองรับผิดชอบตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทุกหน่วยงานจะต้องร่วมใจกันในการแก้ไขปัญหาผ่านนโยบาย การบูรณาการแก้ไขปัญหายาเสพติด ระยะเร่งด่วน 3 เดือน ดังต่อไปนี้
1. ให้ผู้ว่าราชการทุกจังหวัดเป็น CEO ในการขับเคลื่อนงานแก้ไขปัญหายาเสพติด ร่วมกับผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ทำให้ทุกองคาพยพในพื้นที่เกิดการขับเคลื่อนงานในการป้องกัน ปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติดร่วมกัน
2. ปราบปรามยาเสพติด เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติดรายสำคัญ ปฏิบัติการกวาดล้างนักค้ายาเสพติด ในพื้นที่แพร่ระบาด ทำการ X-ray ทุกพื้นที่ ด้วยการระดมกำลังตรวจปัสสาวะกลุ่มเสี่ยงทุกคนที่อายุ 16 ปี ขึ้นไป ในทุกหมู่บ้าน แยกผู้เสพออกมารับการบำบัด และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรมโดย สำนักงาน ป.ป.ส. และกระทรวงกลาโหม ขยายผลในการจับกุมผู้ขาย เพื่อดำเนินคดีอย่างเฉียบขาดถือเป็นการตัด Supply side ออกจากระบบ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพมาตรการสมคบ สนับสนุนช่วยเหลือ และยึด อายัดทรัพย์สินคดียาเสพติด ดำเนินการปราบปรามเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดอย่างจริงจังและเด็ดขาด และให้ความสำคัญกับการดำเนินการต่อข้อร้องเรียนของประชาชนโดยเร่งด่วน โดยขอให้เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปปส. กระทรวงกลาโหม
3. ลดความรุนแรงของปัญหายาเสพติด และลดความเดือดร้อนของประชาชนจากปัญหาผู้ที่มีอาการจิตเวชจากยาเสพติด โดยกำหนดให้เป็นความสำคัญเร่งด่วนของทุกจังหวัด โดยให้เป็นหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงมหาดไทย ร่วมกันค้นหาผู้ที่มีอาการจิตเวชจากยาเสพติด และให้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงยุติธรรมนำไปเข้าบำบัดรักษา และให้มีระบบในการติดตามดูแล ช่วยเหลือ เฝ้าระวังภายหลังกลับสู่ชุมชน
4. ให้จังหวัด เร่งนำผู้เสพยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาตั้งแต่กระบวนการคัดกรอง บำบัดรักษา ส่งต่อตามกระบวนการให้แน่ใจว่าฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดได้สำเร็จ และที่สำคัญคือ การฟื้นฟูสภาพทางสังคม ให้การช่วยเหลือฝึกฝนด้านการงานอาชีพ การศึกษา โดยให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุนการดำเนินงานให้ผู้เสพติดมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงกระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย ต้องเข้ามาดูแลเพื่อให้บุคคลเหล่านี้ที่ผ่านการบำบัดรักษาแล้วกลับมาใช้ชีวิตในสังคม มีงานทำเพื่อไม่ให้บุคคลเหล่านี้กลับไปสู่วงจรของยาเสพติดอีก
5. ให้ดำเนินการควบคุมปัจจัยเสี่ยง จัดระเบียบสังคมในพื้นที่สถานบันเทิง/สถานบริการ สถานประกอบการคล้ายสถานบันเทิง และบริเวณรอบสถานศึกษา โดยให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันไม่ให้ใช้เป็นแหล่งในการแพร่ระบาดยาเสพติด
6. เสริมสร้าง ปลุกพลังประชาชนให้ตื่นตัวและเข้าร่วมในการแก้ไขปัญหายาเสพติด สร้างมาตรการในชุมชน และมาตรการทางสังคมให้เป็นพลังต่อต้านยาเสพติดอย่างกว้างขวาง ทั้งในบทบาทของการป้องกัน การเฝ้าระวัง การดูแล ติดตาม ช่วยเหลือผู้ผ่านการบำบัดรักษา การรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน/ชุมชน รวมถึงการสร้างมาตรการให้ชุมชนดูแลด้วยกันเอง และปลูกฝังเยาวชนผ่านหลักสูตรการศึกษาให้เข้าใจถึงผลเสียของยาเสพติด
7. ขอให้ทุกจังหวัด เร่งสร้างการรับรู้ ประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนได้รับรู้ รับทราบ ถึงความตั้งใจ ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาล โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ ประชาชนต้องมีความเชื่อมั่นและความพึงพอใจ ต่อการดำเนินงานป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาล
นายกฯ กล่าว การแก้ไขปัญหายาเสพติดจะสำเร็จได้ ต้องอาศัยทุกภาคส่วนทั้งจังหวัด ตำรวจ ทหาร สาธารณสุข ป.ป.ส. และหน่วยงาน อื่น ๆ และต้องได้รับการสนับสนุนจากพี่น้องประชาชน ลุกขึ้นมาต่อสู้กับปัญหายาเสพติดร่วมกันเป็นหูเป็นตาช่วยกันดูแลสอดส่อง แจ้งเบาะแส เฝ้าระวัง และป้องกันลูกหลานไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ขอให้ประชาชนทุกคนที่รู้เบาะแสคนติดยาเสพติดให้แจ้งตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ภาครัฐ นายอำเภอ ผู้ว่าฯ ให้ช่วยกันติดตามมาเข้าบำบัด หรือปราบปรามให้หมดสิ้น
ขอให้กำลังใจกับเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ที่ได้ช่วยกันในการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยเฉพาะในพื้นที่ 25 จังหวัดเร่งด่วน และผมหวังว่าเราจะเห็นปัญหายาเสพติดลดความรุนแรงลงตามเป้าหมายที่กำหนด ทำให้ประชาชนมีความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยจากปัญหายาเสพติดซึ่งถือเป็นเจตนารมณ์สูงสุดของรัฐบาล และประชาชนคนไทยทั้งประเทศ


