เมื่อวันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม 2568 เวลา 13.30 น. พันตำรวจตรี สุริยา สิงหกมล เลขาธิการ ป.ป.ส. พบหารือนางสาวเดลฟีน ช้านท์ซ ผู้แทนสำนักงานอาชญากรรมและยาเสพติดแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime: UNODC) ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Regional Office for Southeast Asia and the Pacific: ROSEAP) พร้อมคณะเจ้าหน้าที่ UNODC ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ และหารือแนวทางการดำเนินงานร่วมกันในอนาคต ณ ห้องรับรองเภา สารสิน สำนักงาน ป.ป.ส.
เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวแสดงความยินดีกับการเข้ารับตำแหน่งใหม่และการเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับตำแหน่งนี้ พร้อมขอบคุณและชื่นชมความร่วมมือจาก UNODC ทั้งในด้านการป้องกันยาเสพติดและการปราบปราม ยาเสพติด ซึ่งมีผลเป็นรูปธรรมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตลอดจนการดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือ 7 ฝ่าย ว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดในอนุภูมิภาคที่ UNODC เป็นฝ่ายเลขานุการ โดยนางสาวเดลฟีน ก็ได้ขอบคุณสำหรับการต้อนรับและแสดงความยินดีกับพันตำรวจตรี สุริยา ที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมทั้งแสดงความพร้อมที่จะดำเนินงานและสนับสนุน สำนักงาน ป.ป.ส. ในวาวระที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมอาวุโสภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ 7 ฝ่ายว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ในปี พ.ศ. 2569 อีกทั้งแสดงความชื่นชมประเทศไทยที่มีผลการจับกุมยาเสพติดและสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ได้เป็นจำนวนมากในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะยาบ้า นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ำความสำคัญของความร่วมมือการแก้ไขปัญหายาเสพติดให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการชายแดน การพัฒนาทางเลือก การลดอุปสงค์ยาเสพติด รวมถึงการป้องกันในกลุ่มเยาวชนและการให้การบำบัดรักษาผู้มีอาการผิดปกติจากการใช้ยาบ้า
เลขาธิการ ป.ป.ส. ยังได้แสดงความชื่นชมต่อความคืบหน้าในการขับเคลื่อนการดำเนินงานร่วมกับ UNODCภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ 7 ฝ่ายฯ ผ่านกลไกคณะทำงาน 3 คณะ ทั้งด้านการป้องกัน การควบคุมสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ และการตรวจพิสูจน์ยาเสพติด และเน้นย้ำที่จะเร่งรัดการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ร่วมกับภาคเอกชนเพื่อป้องกันไม่ให้รั่วไหลไปสู่แหล่งผลิตยาเสพติด การแสวงหาแนวทางในการให้การบำบัดรักษาผู้ใช้ยาเสพติดที่มีอาการทางจิตเวชให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ตลอดจนแสดงความพร้อมในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหายาเสพติดผ่านการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสฯ โดยจะหารือกับ UNODC เกี่ยวกับแผนและแนวทางการดำเนินการการแก้ไขยาเสพติดภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ 7 ฝ่ายฯ เพื่อผลักดันร่วมกันในห้วงการประชุมผู้ประสานงานกลางด้านยาเสพติด (Focal Point Meeting: FPM) ซึ่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในรูปแบบการประชุมทางไกล ในวันพุธที่ 14 มกราคม 2569 ณ สำนักงาน ป.ป.ส. ต่อไป
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องถึงความสำคัญในการควบคุมสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สารที่ยังไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมระหว่างประเทศ ซึ่งจำเป็นต้องผลักดันความร่วมมือร่วมกันให้มากยิ่งขึ้นต่อไป โดยเลขาธิการ ป.ป.ส. เน้นย้ำว่าในปัจจุบันประเทศไทยได้พยายามสกัดกั้นการรั่วไหลของสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ไม่ไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยเชื่อว่าหากแหล่งผลิตยาเสพติดขาดสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ที่สำคัญที่ใช้ในกระบวนการผลิตยาเสพติด จะทำให้การผลิตยาเสพติดมีจำนวนน้อยลง ซึ่งที่ผ่านมามีปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องไปแล้ว 2 ครั้ง โดยยึดสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ได้มากถึง 20 ตัน ขณะเดียวกัน สำนักงาน ป.ป.ส. ได้พยายามหาแนวทางพิสูจน์ทราบแหล่งผลิตยาเสพติดโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย และทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะยกระดับความร่วมมือในเรื่องนี้ต่อไป
นอกจากนี้ UNODC ยังได้ชื่นชมประเทศไทยที่มีบทบาทนำและมีความเชี่ยวชาญในโครงการพัฒนาทางเลือก (Alternative Development) ซึ่งได้ดำเนินการมาแล้วกว่า 20 ปี โดยมีผลการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมและมีประสิทธิผล และได้นำไปเผยแพร่ให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงประเทศลาวและเมียนมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมการปลูกกาแฟแทนการปลูกฝิ่น ซึ่งปัจจุบันผลผลิตกาแฟเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก อีกทั้งยังให้ข้อคิดว่าการพัฒนาทางเลือกจะมีความเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการชายแดนด้วย โดยจะช่วยเป็นทางเลือกให้แก่ชุมชนในการดำเนินใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขและห่างไกลจากยาเสพติด โดยเลขาธิการ ป.ป.ส. เห็นพ้องที่จะนำความสำเร็จด้านการพัฒนาทางเลือกของไทยเผยแพร่ให้แก่นานาชาติต่อไปในอนาคต
ขณะเดียวกัน UNODC ยังได้เน้นย้ำความสำคัญของโครงการเยาวชนต่อต้านยาเสพติด ซึ่งเป็นโครงการที่สำนักงาน ป.ป.ส. มีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี โดย UNODC ยินดีให้การสนับสนุนและให้ความร่วมมือในการจัดโครงการฯ เพื่อส่งเสริมการรณรงค์ต่อต้านยาเสพติดและถ่ายทอดบทเรียนที่เกี่ยวข้องของประเทศไทยให้แก่ประเทศอื่น ๆ ได้นำไปปรับใช้ต่อไป ซึ่งเลขาธิการ ป.ป.ส. ยินดีที่จะดำเนินโครงการฯ ในเรื่องนี้ร่วมกับ UNODC อีกทั้งยังให้ข้อคิดว่าในอนาคตจะต้องมีการดำเนินงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาให้แก่เยาวชนกลุ่มเสี่ยง ซึ่งพ่อแม่มีพฤติการณ์เสพหรือค้ายาเสพติด หรือถูกจำคุก รวมถึงกรณีพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ถูกดำเนินคดีทำให้ลูกโดดเดี่ยวและไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
ในตอนท้าย เลขาธิการ ป.ป.ส. ได้เน้นย้ำนโยบายการแก้ไขปัญหายาเสพติดของไทย ซึ่งยังคงยึดหลักการ “ผู้เสพ คือ ผู้ป่วย” และส่งเสริมให้สามารถเข้ารับการบำบัดโดยสมัครใจ การดำเนินคดีโดยคำนึงถึงพฤติการณ์เป็นหลัก ตลอดจนการใช้สายด่วน 1386 ให้เป็นที่พึ่งสำหรับทุกปัญหายาเสพติดเปิดโอกาสให้ประชาชนแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับยาเสพติดและขอรับความช่วยเหลือเพื่อแก้ไขความเดือนร้อนของประชาชน ทำให้ในปัจจุบันมีประชาชนโทรแจ้งสายด่วนเพิ่มขึ้น 4 เท่า หรือประมาณ 4,000 สายต่อเดือน โดยส่วนใหญ่เป็นการขอเข้ารับการบำบัดรักษายาเสพติดและปัญหาจิตเวชจากการใช้ยาเสพติด อีกทั้งแสดงความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับ UNODC ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหายาเสพติดภายในประเทศและในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงให้ปรากฎผลเป็นรูปธรรมมากขึ้นต่อไป รวมถึงความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรอง การเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรที่เกี่ยวข้อง และการใช้ประโยชน์จากกลไกศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัย