กรุงเทพมหานคร (ประเทศไทย) วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เวลา 19.00 น. – สำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime: UNODC) เชิญสำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมเปิดตัวรายงานประจำปี ค.ศ. 2025 ของ UNODC เรื่อง พัฒนาการล่าสุดและความท้าทายของยาเสพติดชนิดสังเคราะห์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ณ สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย อาคารมณียา เซ็นเตอร์ ร่วมกับนายเบเนดิกต์ ฮอฟแมน (Mr. Benedikt Hofmann) รักษาการผู้แทน UNODC ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก และนายอินชิค ซิม นักวิจัยอาวุโส (Mr. Inshik Sim)
รายงาน “ยาเสพติดชนิดสังเคราะห์ในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: พัฒนาล่าสุดและความท้าทายปี ค.ศ. 2025” ของ UNODC ระบุว่าในปี ค.ศ. 2024 มีการขยายตัวและความหลากหลายของการลักลอบผลิตยาเสพติดชนิดสังเคราะห์และการลักลอบค้าในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะเมทแอมเฟตามีน ทั้งยาบ้าและไอซ์ ซึ่งยึดได้ในปริมาณมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึง 236 ตัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง (ไทย กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ที่ยึดได้มากที่สุดถึง 200 ตัน และเมื่อแยกตามชนิดยา มีการยึดไอซ์ได้มากถึง 102 ตัน และยาบ้า 1.5 พันล้านเม็ด โดยประเทศไทยยึดยาบ้าได้มากถึง 1 พันล้านเม็ด แสดงถึงความสำเร็จของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของไทย โดยพบว่าบริเวณชายแดนภาคเหนือของไทยที่ติดกับเมียนมายังคงเป็นพื้นที่ที่มีการลักลอบยาบ้าและไอซ์มากที่สุด รองลงมา คือ บริเวณชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ติดกับ สปป.ลาว ซึ่งทั้งไทย และสปป.ลาว ถูกใช้เป็นทางผ่านนำเข้ายาดังกล่าวจากเมียนมาไปยังกัมพูชา ซึ่งได้กลายเป็นศูนย์กลางลักลอบค้าไอซ์ในภูมิภาคฯ รวมถึงมาเลเซียที่ถูกใช้เป็นศูนย์กลางในการลักลอบค้ายาเสพติดทางทะเลที่สำคัญด้วย อีกทั้งยังพบการลักลอบค้าสารกระตุ้นประเภทแอมเฟตามีน รวมถึงยาบ้า จากเมียนมาไปยังอินเดียเพิ่มมากขึ้นด้วย ส่วนด้านการใช้ยาเสพติด พบว่าในภูมิภาคฯ มีการใช้เมทแอมเฟตามีนเพิ่มขึ้น โดยพบกลุ่มคนที่มีอายุมากเข้ารับการบำบัดมากขึ้น ในขณะที่เยาวชนมีแนวโน้มลดลง
นอกจากสถานการณ์เมทแอมเฟตามีนแล้ว ในปี ค.ศ. 2024 ยังพบความท้าทายในการลักลอบสารเคมีที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุม (Non-controlled chemicals) ซึ่งยึดได้เป็นจำนวนมากในเมียนมา นอกจากนี้ ปริมาณคีตามีนที่ยึดได้ในภูมิภาคฯ ลดลงจากปีที่ผ่านมาเหลือ 18.4 ตัน โดยกัมพูชากลายเป็นศูนย์กลางการลักลอบคีตามีนในภูมิภาคฯ รวมทั้งยังพบการย้ายฐานการผลิตคีตามีนมายังเวียดนาม ซึ่งทำให้แนวโน้มการใช้คีตามีนเพิ่มขึ้นหลายเท่า อีกทั้งในหลายประเทศก็มีแนวโน้มการใช้เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ขณะเดียวกัน กลุ่มองค์กรอาชญากรรมค้ายาเสพติดได้ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทันสมัยทั้งในการลักลอบขนยาเสพติดและฟอกเงิน และมีลักษณะการทำงานเป็นเครือข่าย โดยจ้างวานบุคคลที่สามทำหน้าส่งลักลอบขนยาเสพติดเพื่อปกปิดและไม่ให้สาวถึงผู้บงการ ตลอดจนใช้เครือข่ายธนาคารใต้ดินเพื่อปกปิดและเคลื่อนย้ายเงินที่ผิดกฎหมาย รวมถึงขยายการทำธุรกิจผิดกฎหมายนอกเหนือจากการค้ายาเสพติด ไม่ว่าจะเป็นคาสิโน พนันออนไลน์ และอุตสาหกรรมที่เข้าข่ายการฉ้อโกงและหลอกลวง
ภายหลังการนำเสนอของ UNODC ผู้แทน สำนักงาน ป.ป.ส. โดยนางสาวศรีตระกูล เวลาดี ผู้อำนวยการสำนักการต่างประเทศ ได้นำเสนอความพยายาม และบทบาทนำของประเทศไทยในการจัดการกับปัญหายาบ้า โดยเน้นย้ำนโยบายมาตรการการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดของประเทศไทยตามแนวนโยบายของรัฐบาล ภายใต้การนำของ นางสาวแพรทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่ากระทรวงยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ชายแดนภาคเหนือ และชายแดนภาคตะวันตก (นบ.ยส.24 นบ.ยส. 35 และนบ.ยส. 17) ใน 51 อำเภอ 14 จังหวัด ปฏิบัติการ Seal Stop Safe ปฏิบัติการตัดไฟแต่ต้นล้ม และปฏิบัติการเด็ดปีกนักค้ารายย่อย
โดยสามารถสกัดกั้นการลักลอบขนและค้ายาเสพติดสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ในบริเวณชายแดนและในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมยึดทรัพย์ได้เป็นจำนวนมาก ตลอดจนนำเสนอกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศของสำนักงาน ป.ป.ส. ในการดำเนินการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ที่ดำเนินการร่วมกับภาคีต่างประเทศ ทั้งในระดับทวิภาคี อาเซียน พหุภาคี และระดับโลก
ทั้งนี้ UNODC ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามสถานการณ์และแนวโน้มยาเสพติด พร้อมทั้งให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับความร่วมมือการตรวจจับ การควบคุมสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ และยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุข ตลอดจนช่วยเหลือประเทศต่าง ๆ ในการทำงานร่วมกันให้สามารถแก้ไขปัญหายาเสพติดได้อย่างยั่งยืน