รมว.ยุติธรรมแถลงยึดทรัพย์โชว์ 2 เดือนกว่าได้ 866 ล้านบาท พร้อมยึดคดีค้างเก่าอีกกว่า 477 ล้านบาท เชื่อหากประมวลกฎหมายยาเสพติดใช้ได้จะมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ ชี้บทเรียนคีตามีนได้เรียนรู้ข้อผิดพลาด ลั่นขอเดินหน้าต่ออย่างมั่นคง

เมื่อวันที่ : 16 ธ.ค. 2563 00:00
หน่วยงาน : สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
24 ครั้ง
รมว.ยุติธรรมแถลงยึดทรัพย์โชว์ 2 เดือนกว่าได้ 866 ล้านบาท พร้อมยึดคดีค้างเก่าอีกกว่า 477 ล้านบาท เชื่อหากประมวลกฎหมายยาเสพติดใช้ได้จะมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ ชี้บทเรียนคีตามีนได้เรียนรู้ข้อผิดพลาด ลั่นขอเดินหน้าต่ออย่างมั่นคง

wichai1-16-12-63-5.jpg
 

               รมว.ยุติธรรมแถลงยึดทรัพย์โชว์ 2 เดือนกว่าได้ 866 ล้านบาท พร้อมยึดคดีค้างเก่าอีกกว่า 477 ล้านบาท เชื่อหากประมวลกฎหมาย       ยาเสพติดใช้ได้จะมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ ชี้บทเรียนคีตามีนได้เรียนรู้ข้อผิดพลาด ลั่นขอเดินหน้าต่ออย่างมั่นคง ตำรวจ-สรรพากร พร้อม     ร่วมมือกวาดล้าง-สกัดเส้นทางการเงิน

 

               วันที่ 16 ธันวาคม 2563 เวลา 10.00 น. ที่กระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย           นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นายอุทัย สินมา อธิบดีอัยการ สำนักงานคดียาเสพติด พ.ต.อ.อัครพล บุณโยปัษฎัมภ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ             (ดีเอสไอ) และนายวีรภัทร ลำปาง นักตรวจสอบภาษีชำนาญการพิเศษ กรมสรรพากร ร่วมกันแถลงรายงานผลการดำเนินงานคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการยึดทรัพย์สินเครือข่ายยาเสพติดระหว่างวันที่ 1 ต.ค.- 15 ธ.ค. 2563

 

               นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องที่ผ่านมาในการตรวจยึดสารต้องสงสัยว่าจะเป็นคีตามีนบรรจุกระสอบในโกดัง อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา   เรายอมรับในข้อผิดพลาด คือ การขาดองค์ความรู้ ซึ่งเรารู้แล้วว่าจะต้องแก้ไขอย่างไรบ้าง โดยเราได้มีการจัดสัมมนา ถอดรหัสสีม่วงไปแล้ว ซึ่งมีหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วม ทั้งสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ, กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.), กรมโรงงานอุตสาหกรรมนักวิชาการด้านเคมี และกองบัญชาการกองทัพไทย นอกจากนี้ ในเร็วๆ นี้จะมีการร่วมกับสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ United Nations Office on Drugs and Crime (UNODC) และสำนักงานปราบปรามยาเสพติดสหรัฐฯ ((Drug Enforcement Administration-DEA) มาร่วมเป็นวิทยากรให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ด้วย ตนยืนยันว่าเราพร้อมเดินหน้าอย่างมั่นคงเพื่อปราบปรามยาเสพติดอย่างชัดเจน โดยมุ่งเน้นไปที่การยึดทรัพย์ตัดวงจรเครือข่ายยาเสพติด แต่อยากให้ทุกท่านได้เข้าใจถึงอุปสรรคต่างๆ ว่าการดำเนินการไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะการจะยึดทรัพย์ต้องใช้กฎหมายหลายฉบับ ทั้ง พ.ร.บ.มาตรการฯ พ.ร.บ.การฟอกเงิน และ พ.ร.บ.ภาษี โดยขณะนี้กระทรวงยุติธรรมได้เสนอการแก้ไขประมวลกฎหมายยาเสพติด ที่รวมกฎหมาย 28 ฉบับเป็นฉบับเดียว ซึ่งจะง่ายต่อการใช้งาน

 

               นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ข้อมูลการยึดทรัพย์สินคดียาเสพติดระหว่างวันที่ 1 ต.ค.- 15 ธ.ค. 2563 รวมทั้งสิ้น 866.2 ล้านบาท จำแนกเป็น จับกุมและยึดทรัพย์ชั่วคราว 465.5 ล้านบาท อยู่ระหว่างเสนอยึดอายัด 240.7 ล้านบาท และกรมสอบสวนคดีพิเศษจับกุมและยึดทรัพย์ได้ 160 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีทรัพย์สินอีกส่วนหนึ่งจากคดีค้างเก่า กรณีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) วินิจฉัยยึดทรัพย์ 276.5 ล้านบาท ทรัพย์สินที่ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด 141.7 ล้านบาท ทรัพย์สินที่ยุติการตรวจสอบและนำไปดำเนินการบังคับโทษปรับ 3.7 ล้านบาท และ ทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.การฟอกเงิน 55.6 ล้านบาท รวมเป็น 477.5 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดนี้มีความยุ่งยากทางกฎหมายอยู่พอสมควร เพราะใช้กฎหมายหลายฉบับ ดังนั้นหากเราสามารถทำประมวลกฎหมายยาเสพติดได้เสร็จ การทำงานจะง่ายขึ้น ซึ่งขณะนี้ร่างประมวลกฎหมายยาเสพติดอยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภา ในชั้นของกรรมาธิการ ซึ่งคงต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง

 

               "ร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด หากสำเร็จจะทำให้การทำคดียาเสพติดง่ายขึ้น โดยเฉพาะการยึดทรัพย์ตัดวงจรเครือข่าย ซึ่งน่าจะได้มากกว่าเป้าหมายที่เราตั้งไว้ 6,000 ล้านบาทด้วยซ้ำ จากเดิมต้องทำสำนวนหนาเป็นปึกเพราะเกี่ยวโยงกับกฎหมายหลายฉบับ ก็อาจจะเหลือครึ่งเดียว ทำให้เกิดความสะดวกและลดเวลา และที่ผ่านมาหากผู้ต้องหาหลุดคดีอาญาก็ต้องคืนทรัพย์สิน แต่ประมวลกฎหมายใหม่ หากหลุดคดีอาญา เรายังสามารถเดินหน้ายึดทรัพย์ต่อได้ หากเงินที่ยึดนั้นไม่สามารถแจ้งที่มาที่ไปได้ ทั้งหมดนี้เราต้องร่วมกันทำงานแบบบูรณาการในทุกภาคส่วนเพื่อให้การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด" นายสมศักดิ์ กล่าว

 

               ด้าน พล.ต.อ.มนู กล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐบาลได้มอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) สอบสวนและดำเนินการปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มงวด รวมทั้งการดำเนินการยึดทรัพย์สินตัดวงจรเครือข่ายผู้ค้ายาให้เป็นรูปธรรม ซึ่งภายใต้การนำของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้ประสานงานร่วมมือกับทุกภาคส่วน มุ่งมั่นในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด รวมทั้งการใช้ พ.ร.บ.มาตรการฯ พ.ร.บ.การฟอกเงิน และ พ.ร.บ.ภาษีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ผ่านมาเราทลายเครือข่ายและจับกุมได้เป็นจำนวนมาก เช่น การจับกุมแก๊งบิ๊กไบค์บ้านโป่ง จ.ราชบุรี และล่าสุดเมื่อคืนวันที่ 15 ธ.ค.มีการจับคีตามีน 300 กิโลกรัม และขยายผลไปจับกุมเฮโรอีนได้อีก 228 กิโลกรัมด้วย ซึ่งทั้งหมดเป็นการทำงานร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

 

               ขณะที่ นายวีรภัทร กล่าวว่า กรมสรรพากรได้เข้ามาทำงานบูรณาการร่วมกับทาง ตำรวจและ ป.ป.ส. โดยใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น มาตรการทางภาษี ในการปราบปรามและสืบเส้นทางการเงินของผู้ค้ายา ซึ่งเราถือเป็นตะแกรงที่ละเอียดที่สุด กลั่นกรองเรื่องเงินได้ โดยการรับข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ ในการนำมาตรวจสอบภาษีและที่มาของเงิน ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อการสกัดกั้นเส้นทางการเงินของผู้ค้ายาได้เป็นอย่างดี

wichai1-16-12-63-6.jpg
 

wichai1-16-12-63-2.jpg
 

wichai1-16-12-63-7.jpg
 

wichai1-16-12-63-3.jpg
 

wichai1-16-12-63-1.jpg
 

wichai1-16-12-63-4.jpg

YouTube Instagram TikTok X Threads search download
Q&A FAQ